วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บันได 5 ขั้นสู่ชีวิตใหม่ที่มีค่าและเป็นสุข

 บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน 
ใน แต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่ สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็! นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี
ขั้น นี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่ง มีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้ าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต 

บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
 คือ การอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บป! วดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น‏

สูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็นตำราแห่งชีวิต
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น..ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐. เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑. ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน


วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ

บทวิเคราะห์จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ โดยวิกรม กรมดิษฐ์
วิกรม กรมดิษฐ์” ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร พร้อมทั้งมีบริษัทในเครืออมตะอีกหลายแห่ง รวมถึงที่อยู่ในเวียดนามด้วย เขาพลิกผันตัวเองจากครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายในจังหวัดกาญจนบุรี มาสู่เจ้าของอาณาจักรนิคมอุตสาหกรรม

ความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครที่เคยพูดถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ   

1. คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก   โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ   

2.  การศึกษายังไม่ทันสมัย   คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก
ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตา มหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า  

3.  มองอนาคตไม่เป็น   คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน  

4.  ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่   ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญา 
หรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ  

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำคมน่าคิดคนดังระดับโลกเมื่อรู้สึกหมดกำลังใจ

1. ซาราห์ เจสสิก้า ปาร์กเกอร์ดาราสาวและโปรดิวเซอร์ที่ประสบความสำเร็จ อย่างท่วมท้นจากซีรี่ส์ดังอย่าง Sexand the City ที่ตบเท้าเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ
"เมื่อคนจริงต้องพบกับความล้มเหลว เขามักจะถอยกลับไปก้าวหนึ่งและพร้อมที่จะเริ่มเดินหน้าใหม่อีกครั้ง"


2. วินสตัน เชอร์ชิลล์

อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ ถึง 2 สมัย เขาเป็นทั้งนักพูด ผู้นำทางการทหาร นักประวัติศาสตร์ นักเขียนรางวัลโนเบลจากงานเขียนเรื่อง The Second World War และ A Historyof the English-Speaking Peoples
"ความสำเร็จประกอบด้วยความผิดพลั้งหลายๆ ครั้งมารวมกันโดยที่ความกระตือรือร้นที่หวังจะพบกับชัยชนะนั้นยังคงอยู่"


3. เคท แบลนเช็ตต์

ผู้กำกับละครเวทีและนักแสดงผู้คว้ารางวัลออสการ์ในปี 2004 จากภาพยนตร์เรื่องThe Aviator
"ถ้าคุณรู้ว่า ตัวเองกำลังจะล้มลงหรือแพ้ ทำยังไงก็ได้ให้ล้มลงอย่างสง่าที่สุด"


4. มาเรีย ชาราโปวา

นักเทนนิสระดับโลกผู้คว้ารางวัลแกรนด์สแลมมาแล้วถึง 3 ครั้ง แถมยังสร้างปรากฏการณ์ให้โลกตะลึง เมื่อเธอสามารถเอาชนะคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเซเรนา วิลเลียมส์ ในการแข่งขันวิมเบิลดันรอบสุดท้ายขณะที่มีอายุ 17 ปีเท่านั้น
"ฉันไม่พยายามที่จะทำตัวให้เก่งเหมือนนักเทนนิสคนอื่นๆ ในการแข่งขันฉันฝึกซ้อมตามตารางและพยายามทำในสิ่งที่ฉันทำเป็นปกติ ไม่เคยคิดที่จะแข่งกับใครนอกจากแข่งกับตัวเอง"


5. คาลวิน ไคลน์
ดีไซเนอร์แบรนด์เก๋และหรูจากอเมริกาผู้ได้รับการยกย่องจาก Vogue ให้เป็นผู้นำในเรื่องความมีรสนิยมด้านการออกแบบที่เรียบแต่โก้ในแบบมินิมัล ในปี 1969
"ผมไม่ลุ่มหลงไปกับคำว่า "ชัยชนะ" มากเกินไป บางทีสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ"


วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แพทย์แผน พุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค ตอน 2

มาแล้วครับ หมอเขียว ใจเพชร กล้าจน แพทย์แผนพุทธ 0 บาทรักษาทุกโรคตอนที่ 2 จากรายการ" ค้นค้นคน " ว่าด้วยวิธีการ รักษาโรคด้วยตัวเอง ตอนนี้พิเศษนะครับ สำหรับท่านที่สนใจสูตรหน้าเด้ง ด้วยตัวยาธรรมชาติ 0 บาทจริงๆ ครับ อีกทั้งยังมี วิธีถอนพิษต่างๆ ที่เป็นบ่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของเราด้วยวิธีการแพทย์แผนดั้งเดิมแบบต่างๆ น่าสนใจมากครับ ^ ^








วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เป๊กกี้ เรนต์ส เกษตรกรฝรั่งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

เป๊กกี้ เรนต์ส(Peggy Reents) กับวิถี ชีวิตแบบพอเพียงบนผืนแผ่นดินไทย เป๊กกี้ หญิงสาวชาวอเมริกัน ที่ขอเลือกมาใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรฝรั่งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ที่บ้านแม่โจ้ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และเป็นหนึ่งแรงแข็งขยันที่ร่วมสร้าง ชุมชนเล็กๆ แต่อบอุ่น ที่เรียกกันว่า " พันพรรณ "เธอได้พาเราไปสัมผัสกับการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แสนสงบ และรู้จักพึ่งพาตนเอง ซึ่งเพียงแค่เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้คนเราสามารถมีความ สุขอย่างแท้จริงได้ เป๊กกี้ เรนต์ส(Peggy Reents) ถือได้ว่าเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เปรียบดังได้มาค้นพบ อัญมณีที่มีค่าในเมืองไทย อัญมณีที่คนไทยต่างลืมเลือนและไม่ได้สนใจกับสิ่งที่คนทั้งโลกต่างออกเดินทางแสวงหา แต่สำหรับคนไทยสิ่งเหล่านี้อยู่เพียงที่ปลายจมูกแค่นั้นเอง...

ฉันรักเมืองไทย เป๊กกี้ เรนต์ส เกษตรกรฝรั่งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ช่วงที่ 1


วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แพทย์แผนพุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค

ศูนย์บาท รักษาทุกโรค "หมอเขียว" ใจเพชร กล้าจน
ณ สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร

การที่ชายคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อตนเองจาก "สำเริง มีทรัพย์" เป็น "ใจเพชร กล้าจน" ในทางหนึ่งเป็นความพยายามบอกกับทุกคนถึงสิ่งที่เขายึดเหนี่ยว

จุดหมายชีวิตแท้จริงที่ชายผู้นี้ยึดถือ คือ ความพยายามช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้หายจากโรคภัย โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท... ด้วยการรักษาแบบ "แพทย์วิถีพุทธ"

"หมอเขียว" หรือ ใจเพชร กล้าจน จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เขาพยายามรักษาผู้ป่วยตามวิชาแพทย์ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่ แต่พอทำไปได้ชั่วระยะ คนเป็นหมอก็ต้องผจญกับคำถามในใจที่ไหนคำตอบกับตัวเองไม่ได้เสียที

"ทำไมทุกคนยังป่วย ทั้งที่เครื่องมือแพทย์ทันสมัยขึ้น ทำไมรักษาไปแล้วแพงขึ้นทุกวัน ที่สำคัญเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลับป่วยแซงหน้าชาวบ้านอีก"

ยิ่งคิด ก็ยิ่งงง เขาว่า ไม่เพียงเท่านั้น ตัวหมอเองที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดและปวดข้อ ใช้ยาที่ดีที่สุดของโรงยาบาลรักษาแล้วแต่ก็ไม่หายความสงสัยนี้ทำให้หันกลับ มาศึกษาแพทย์ ทางเลือกและนำมาใช้ร่วมกับแผนปัจจุบันผลปรากฏว่าคนไข้หายเพิ่มขึ้นเกือบเท่า ตัว แต่นับแล้วก็ยังได้แค่ 40 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ทั้งหมด ซึ่งทำให้หมอเขียวยังคาใจต่ออีกว่า ทำไมอีก 60 เปอร์เซ็นต์ รักษาไม่ได้ คนที่รักษาได้ก็กลับมาเป็นใหม่ หรือการแพทย์ที่ทำอยู่จะมาผิดทาง หมอเขียวเครียดกับเรื่องนี้มากจนต้องไปปฏิบัติธรรม แต่พอได้อ่านพระไตรปิฎกก็พบว่า คำตอบทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว

หนึ่งในคำสอนที่นำมาพิจารณา คือ เรื่องสังคีติสูตร หมอเขียวคิดไปถึงเรื่องสมดุลของร่างกาย เรื่องปรับร้อน-ปรับเย็น ซึ่งมีในศาสตร์แพทย์แผนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่ได้ผลดี เพราะมัวแต่ปฏิบัติตามตำราซึ่งเขียนในสมัยโบราณ ในขณะที่โลกปัจจุบันร้อนขึ้น การปรับร้อน-เย็นจึงต้องเปลี่ยนตามโลก เพื่อให้เกิดสมดุลที่แท้จริง

หมอเขียวลองรักษาโดยวิเคราะห์ ธาตุร้อน - เย็น ด้วยตนเอง ให้ยาฤทธิ์เย็นมากขึ้นตามโลกที่ร้อนขึ้น เริ่มจากรักษาแม่ที่ปวดมดลูกให้หายได้ ทั้งที่แพทย์ปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ จากนั้นก็ใช้แนวทางดังกล่าวไปรักษาโรคมะเร็ง โรคไต โรคความดัน และบันทึกการรักษาทุกครั้ง ผลปรากฏว่าคนไข้ร้อยละ 90 อาการทุเลา รู้สึกสบายขึ้น เมื่อค้นพบว่าการรักษาที่ได้ผลจริงนั้น พระพุทธเจ้าได้สอนไว้หมดแล้ว หมอจึงประมวลความรู้ทั้งหมด และเรียกชื่อว่า "การแพทย์วิถีพุทธ"

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ล้มแล้วอย่าท้อ ต้องลุกขึ้นสู้ต่อไป

" ล้มแล้วอย่าท้อ ต้องลุกขึ้นสู้ต่อไป " นิค วูจิซิคNick Vujicic

นิค วูจิซิค Nick Vujicic เป็นชาว ออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2525 จากพ่อแม่ชาวเซอร์เบียซึ่งอุทิศตนให้คริสต์ศาสนา นิค วูจิซิคเกิดมาไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาสั้นๆ ข้างเดียวที่มีนิ้วโป้งสองนิ้วเท่านั้นแทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมา ดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และ ปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา เมื่อเทียบกับเค้า


ลองมาดูบรรยากาศการสร้างแรงบันดาลใจในการที่จะลุกขึ้นสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ให้กับผู้ที่มีความเพียบพร้อมมากกว่าเค้ากันครับ

ความพอเพียง คือความสุขที่ยั่งยืน

" ความพอเพียง คือความสุขที่ยั่งยืน " พ่อใหญ่มา มาร์ติน วีลเลอร์

มาร์ติน วีลเลอร์ บัณฑิต เกียรตินิยม อันดับหนึ่ง เคมบริดจ์
" คนไทยมีพระ เจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ "

นิยามความรวยกับความจน

มัน เป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่ อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้เพราะเขา ไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำ ว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศ ไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕ - ๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็น เรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย ... มันร้อน ๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อน ๆ ไม่เอา .. ไม่เอา .. อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะ ว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้ แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

ผม มีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ
๑ . ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบ ความสำเร็จ
๒ . ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิต จึงจะไม่สูญเปล่า

วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูก มีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้น แต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน

ผม ถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุด คืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะ มากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยาก ให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กิน อาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูก ของผมก็จะรวยที่สุด ... ฯลฯ

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชีวิต...เป็นเรื่องง่ายๆ ทำให้ยากไปทำไม...?

ชีวิต...เป็นเรื่องง่ายๆ ทำให้ยากไปทำไม...?

"ชีวิตคนเราง่าย ๆ อย่าคิดให้ยาก เมื่อเราคิดยากเมื่อไหร่ ชีวิตจะทุกข์มากขึ้น ๆ อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามที่เราฝัน ชีวิตก็เท่านี้เอง"
ปัจจุบันนี้ กระแสสังคมทำให้คนคิดเหมือน ๆ กัน อยากอยู่บ้านหรูราคานับล้าน อยากกินของแพง มื้อละเป็นพันเป็นหมื่น อยากทำทุกอย่างตามคำโฆษณา
โจนบอกว่า “คนเราก็แปลก ทำงานหาเงินมาซื้อโทรทัศน์ แล้วก็มานั่งดูบรรดาบริษัทต่าง ๆ โฆษณาล้างสมองเราในบ้านตัวเองทุกวัน แล้วเราก็อยากเป็นเหมือนในละครทีวี อยากจ่ายเงินซื้อสินค้าตามที่โฆษณาทีวี ดูทุกวัน ๆ เราเลยกลายเป็นทาสโฆษณา โดยมีนายทาสมาบอกให้เราจงไปซื้อนั่น ซื้อนี่ ทุกวี่ทุกวัน

ตอนที่ 1


มองลึก... นึกไกล... ใจกว้าง...


มองลึก คือ เวลามองอะไร อย่ามองแค่ปรากฎการณ์

อย่ามองภาพ ลักษณ์ภายนอก ที่เราเห็นกันอย่างฉาบฉวย

แล้วก็คิด เอาเองว่า สิ่งนั้นเป็นความจริง สูงสุดแล้ว

กล่าวอีกนัย หนึ่งคือ อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น

เพราะสิ่ง สำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา . . .

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

นึกไกล คือ อย่านึกแต่ว่า ฉันจะได้อะไร

โดยไม่เคย ถามต่อไปว่า ในขณะที่ฉันกำลังได้อะไรอยู่นั้น

คนอื่นเขา ต้องเสียอะไร สังคมไทยที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้

ก็เพราะเรา นึกแต่ว่า ฉันจะได้อะไร

แล้วคนอื่น จะเสียอะไรช่างหัวมัน . . .

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ใจกว้าง คือ ใจที่ปราศจากอคติ สามารถอยู่ร่วมกับคนทั้งโลก

ฉันพี่ฉัน น้องเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน

อยู่กับชาว พุทธก็ได้ อยู่กับชาวคริสต์ก็ได้

อยู่กับคนสี ผิวอะไรก็ได้ สวมเสื้อสีอะไรก็ได้ทั้งนั้น

ถ้าเราใจ กว้างได้อย่างนี้ ในโลกนี้ก็ไม่มีใครที่คู่ควรแก่ความโกรธ

เกลียด ชิงชัง หรือเข่นฆ่า แม้แต่เพียงคนเดียว . . .